" ชื่ออัสสัมชัญนั้นเด่นมาช้านาน ยังมีพยานปรากฏรับรอง" นาม "อัสสัมชัญ" ของเราได้สร้างชื่อเสียงในด้านต่างๆมานานแล้ว และยังคง มีหลักฐานปรากฏอยู่จนถึงบัดนี้ ที่เห็นได้ชัดอย่างหนึ่งก็คือ การแปรอักษร ซึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นในโรงเรียนอัสสัมชัญและได้รับการพัฒนาให้เจริญก้าวหน้า มาจนถึงปัจจุบัน เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของการแปรอักษรเกิดขึ้นในกลางปี พ.ศ. 2487 ในการแข่งขันชิงชนะเลิศฟุตบอลรุ่นกลางระหว่างอัสสัมชัญ กับ อุเทนถวาย โดยขณะที่ฟุตบอลทำการแข่งขันอยู่นั้นบนอัฒจันทร์กองเชียร์อัสสัม ได้เกิดภาพ "อ.ส.ช." ขึ้นในหมู่นักเรียนที่ไปเชียร์ เหตุการณ์อันนี้ได้สร้างความ ตกตะลึงให้แก่คนดูในสนามศุภชลาสัยเป็นอย่างมาก
การแปรอักษรรูปแรกของโรงเรียนอัสสัมชัญ
บุคคล ที่อยู่เบื้องหลังการสร้างประวัติศาสตร์ในครั้งนี้คือ มาสเตอร์เฉิด สุดารา ซื่งพวกเราถือเสมือนเป็น "บิดาแห่งการแปรอักษร" ม.เฉิด เป็นอัสสัมชนิกเลขประจำตัว 6035 โดย ม.เริ่มเข้าศีกษาตั้งแต่ชั้นมูลจน จบ ม. 8 หลังจากนั้นท่านก็ได้เข้าทำงานเป็นครูในโรงเรียนอัสสัมชัญแห่งนี้ จนถึง ปี พ.ศ. 2508 ในระยะเวลาที่ ม. เป็นครูอยู่นั้น ม. ก็ยังเป็นโค้ชทีมฟุตบอล และ บาสเกตบอล ซึ่งนำชื่อเสียงมาสู่โรงเรียนเป็นอันมาก ปัจจุบัน ม. เป็นผู้จัดการ โรงเรียนสยามวิทยา
ในระหว่างที่ เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อุบัติขึ้นนั้นเป็นช่วง ที่ภาวะเศรษฐกิจปั่นป่วน เสื้อผ้าขาดแคลน ผ้าที่ขายในสมัยนั้นจึงมีแค่ 2 สี เท่านั้น คือ สีฟ้ากับสีขาว ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะพบแต่เสื้อผ้าสีฟ้าและขาวเท่านั้น จนกระทั่งปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 เหตุการณ์ต่างเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ทาง กรมพละศึกษาจึงได้จัดให้มีการแข่งขันฟุตบอลขึ้น เพื่อเชื่อมความสามัคคี ซึ่งมีดรงเรียนส่งทีมเข้าแข่งขันหลายโรงเรียนอาทิเช่น อัสสัมชัญ , สวนกุหลาบ , เซนต์คาร์เบรียล, เทพศรินทร์, กรุงเทพคริสเตียน, วัดปทุมคงคา ฯลฯ และ ในระหว่างที่มีการแข่งขันอยู่นั้น ม. เฉิดได้มองไปยังประชาชนที่นั่งอยู่ทาง อัฒจันทร์ด้านกระถามคบเพลิง ซึ่งแต่เดิมเป็นอัฒจันทร์เล็กๆมีผู้คนนั้งเต็ม ไปหมด จึงได้สังเกตเห็นความแตกต่างของสีเสื้อที่ประชาชนใส่อยู่ ซึ่งได้แก่ สีฟ้าและสีขาวอย่างชัดเจน ม. จึงเกิดความคิดขึ้นว่า ถ้าสามารถจัดคนที่ใส่เสื้อ สีเดียวกันมานั้งรวมกันให้เป็นแถวๆ ได้แล้วก็จะเกิดความสวยงามขึ้น และ นอกจากนี้ก็สามารถจัดเป็นตัวหนังสือให้อ่านออกได้ก็จะเกิดความสวยงาม มากยิ่งขึ้น ประกอบกับเมื่อครั้งที่ท่านยังศีกษาอยู่ในโรงเรียน บราเดอร์ โอเซ่ และ บราเดอร์ อามาโด ด้านวิชาศิลปให้แก่นักเรียน โดยท่านเคยศึกษาศิลปที่ เรียกว่า MOSAIC ซึ่งเป็นศิลปของพวกเอเชียไมเนอร์(ภาพประเภทนี้ ได้แก่ การนำก้อนหินสีต่างๆมาเรียงเป็นตัวอักษรหรือรูปถาพติดบนกำแพงถ้ำ ซึ่ง ปัจจุบันได้พัฒนามาเป็นกระเบื้องโมเสดซึ่งติดบนผนัง และอาศัยวิชาพิมพ์ดีด ซึ่งพิมพ์เป็นรูปต่างๆได้ด้วย) จากความคิดต่างๆและความรู้ที่ม.ได้ศึกษา จึงนำมาใช้ในวัน ชิงชนะเลิศฟุตบอลรุ่นกลาง ระหว่าง อัสสัมชัญ กับอุเทนถวายโดยใช้นักเรียน สวมเสื้อสีขาว กลัดกระดุมเอซี 5 เม็ดเหมือนชุด ราชประแตนส์สวมหมวกกระโล่ สีขาวกางเกงสีน้ำเงิน ถุงเท้าสีขาว รองเท้าดำมานั่งเป็นตัว "อ.ส.ช." และให้ นักเรียนที่แต่งชุดยุวชนทหาร สีกากีแกมเขียว ซึ่งมีจำนวนมากกว่ามานั่งเสริม ให้เต็ม รวมใช้นักเรียนทั้งสิ้นประมาณ พันคน เกิดเป็นภาพ "อ.ส.ช." สีขาว บนพื้นกากีแถบเขียว ปรากฎขึ้นอย่างเด่นชัดเจนและถือว่าเป็นภาพประวัติศาสตร์ ภาพแรกของการแปรอักษร ซึ่งเกิดขึ้นโดยนักเรียนอัสสัมชัญณ สนามศุภชลาสัย ในปีพ.ศ. 2487 นั้นเอง
การแปร อักษร ได้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จาก ภาพ อ.ส.ช. ที่เคลื่อนไหว ไม่ได้มากลายเป็นภาพที่สามารถเคลื่อนไหวเปลี่ยนเป็นคำว่า A.C. ได้โดยม. ได้ใช้เด็กนักเรียนในห้อง ม. เองใส่เสื้อสีเข้มวิ่งเปลี่ยนตำแหน่งที่นั่ง และ ได้มีการพัฒนาอุปกรณ์ต่างๆมาให้แทนเสื้อ เช่นกระดาษสีและผ้าสีต่างๆ จนเมือนประมาณ ปีพ.ศ. 2506 อันเป็นปีสุดท้ายที่ ม.เฉิดตัดสินใจวางมือ จากวงการแปรอักษร แต่เมื่อก่อนที่ ม. จะวางมือนั้น ม. ได้ทิ้งทีเด็ดไว้เป็น ครั้งสุดท้ายในการแข่งขันฟุตบอลระหว่าง อัสสัมชัญ-กรุงเทพคริสเตียน โดย ม. ไม่ให้กองเชียร์อัสสัมชัญขึ้นอัฒจันทร์เชียร์ในขณะที่ฝ่ายกองเชียร์ กรุงเทพคริสเตียนมี กองเชียร์ขึ้นมารออยู่นานแล้ว จนกระทั่ง 15 นาที ก่อนการแข่งขัน จึงให้นักเรียนจักแถวคอยอยู่แล้ว วิ่งขึ้นที่ละแถวตามลำดับ ซึ่งเป็นภาพที่เป็นระเบียบขณะวิ่ง และเมื่อจัดที่นั่งแล้วเพียงชั่วอึดใจ กองเชียร์อัสสัมก็ส่งเสียงเชียร์ดังกึกก้อง เรียกเสียงปรบมือจากคนดูทั้งสนาม ทั้งนี้จุดประสงค์เพื่อให้เห็นว่า นักเรียนยังมีระเบียบมากถ้าหากเรารู้จักใช้พวกเขา และทั้งนี้ต้องให้พวกเขาทำด้วยความสมัครใจ สำหรับความคิดของ ม. เกี่ยว- กับการเชียร์ในปัจจุบันนั้น ม. ได้ให้ความเห็นว่าม. ไม่เห็นด้วยกับการที่แปร อักษรแล้วปิดตาปิดปากกองเชียร์ โดยไม่ให้กองเชียร์ได้เห็นการแข่งขัน และส่งเสียงเชียร์ซึ่งนับว่าทั้งสองอย่างเป็นสิ่งสำคัญในการเชียร์ เพราะ เป็นการสร้างบรรยากาศที่ดี และเป็นการให้กำลังใจทั้งฝ่ายเชียร์และฝ่าย ผู้แข่งขัน และทำให้คนในกองเชียร์รู้สึกว่าตนเองถูกบังคับอยู่ตลอดเวลา
ในด้านเทคนิคต่างๆ ม. ได้ให้ความเห็นว่าได้พัฒนาไปมาก แต่ก็ควรจะไม่ใช้ทุนสูงเกินไป นอกจากจะได้ผลคุ้มค่า จึงน่าทำเพื่อไม่ให้ เกิดความซ้ำซากจำเจ และเป็นการพัฒนาความคิดให้กว่างไหลออกไปตาม คำกลอนของ ภราดา ฟ.ฮีแลร์ ที่ว่า หมุน สมอง ให้ ทัน สมัย และ ม. ก็ได้ นำมาเขียนเป็นโคลงกระทู้ใหม่ว่า
หมุน เวียนเปลี่ยนใหม่ให้ ทันกาล
สมอง เชี่ยวปรีชาชาญ ส่งไซร้
ให้ทัน ช่วงใช้งาน ก่อเกิด ประโยชน์นา
สมัย ใหม่ย่อมต้องให้ เก่าเคล้า ระคนกัน
ส่วน วิธีการที่ ม. คัดค้านไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งก็คือ การวาดรูป ลงบนกระดาษแผ่นใหญ่ แล้วนะมาตัดซอยย่อยๆ เพื่อให้กองเชียร์ถือ คนละแผ่น เพราะถือว่าเป็นการทำลายศิลปแบบโมเซอิค อันเป็นการผิด วัตถุประสงค์ของการแปรอักษรอย่างยิ่ง
ท่าน ผู้อ่านทั้งหลายครับ เมื่อท่านอ่านมาถึงบรรทัดนี้ท่านก็ คงอดภูมิใจไม่ได้ว่าอัสสัมชัญของเรานั้นได้สร้างประวัติศาสตร์ในการ แปรอักษร และพัฒนาการแปรอักษรขึ้น จวบจนถึงบัดนี้โรงเรียนของ เราก็ได้รับเกียรติให้แปรอักษรงานระดับชาติก็หลายครั้งหลายหน และ ครั้งที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง เราได้รับเชิญให้แปรอักษรในพิธีมหามิสซา ของสมเด็จพระสันตปาปา จอห์นปอลที่ 2 ณ สนามศุภชลาสัยซึ่งได้มีการ ถ่ายทอดไปเกือบทั่วโลกถึงแม้ว่าการแปรอักษรในระยะหลังนี้จะซบเซา ไปบ้างแต่ผมก็เชื่อมั่นเหลือเกินว่า ชาวอัสสัมชัญทุกคนคงไม่นิ่งดูดาย แต่จะร่วมมือกันพัฒนาให้การเชียร์ และการแปรอักษรเจริญก้าวหน้าต่อไป สมกับ "ความเกรียงไกรแห่งกองเชียร์อัสสัมชัญ" ของพวกเราทุกคน และช่วยกันสืบทอดเจตนารมณ์อันดีงามนี้ต่อไปเพื่อให้เกียรติประวัติ อันน่าภาคภูมิใจนี้คงอยู่จนถึง รุ่นลูก รุ่นหลาย และต่อๆ ไปชั่วนิรันดร์ สมกับตอนท้ายของเพลงสดุดีอัสสัมชัญที่ว่า " มาชูเชิด เอซี ไว้ชั่วดินฟ้า
การแปรอักษรรูปแรกของโรงเรียนอัสสัมชัญ
บุคคล ที่อยู่เบื้องหลังการสร้างประวัติศาสตร์ในครั้งนี้คือ มาสเตอร์เฉิด สุดารา ซื่งพวกเราถือเสมือนเป็น "บิดาแห่งการแปรอักษร" ม.เฉิด เป็นอัสสัมชนิกเลขประจำตัว 6035 โดย ม.เริ่มเข้าศีกษาตั้งแต่ชั้นมูลจน จบ ม. 8 หลังจากนั้นท่านก็ได้เข้าทำงานเป็นครูในโรงเรียนอัสสัมชัญแห่งนี้ จนถึง ปี พ.ศ. 2508 ในระยะเวลาที่ ม. เป็นครูอยู่นั้น ม. ก็ยังเป็นโค้ชทีมฟุตบอล และ บาสเกตบอล ซึ่งนำชื่อเสียงมาสู่โรงเรียนเป็นอันมาก ปัจจุบัน ม. เป็นผู้จัดการ โรงเรียนสยามวิทยา
ในระหว่างที่ เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อุบัติขึ้นนั้นเป็นช่วง ที่ภาวะเศรษฐกิจปั่นป่วน เสื้อผ้าขาดแคลน ผ้าที่ขายในสมัยนั้นจึงมีแค่ 2 สี เท่านั้น คือ สีฟ้ากับสีขาว ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะพบแต่เสื้อผ้าสีฟ้าและขาวเท่านั้น จนกระทั่งปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 เหตุการณ์ต่างเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ทาง กรมพละศึกษาจึงได้จัดให้มีการแข่งขันฟุตบอลขึ้น เพื่อเชื่อมความสามัคคี ซึ่งมีดรงเรียนส่งทีมเข้าแข่งขันหลายโรงเรียนอาทิเช่น อัสสัมชัญ , สวนกุหลาบ , เซนต์คาร์เบรียล, เทพศรินทร์, กรุงเทพคริสเตียน, วัดปทุมคงคา ฯลฯ และ ในระหว่างที่มีการแข่งขันอยู่นั้น ม. เฉิดได้มองไปยังประชาชนที่นั่งอยู่ทาง อัฒจันทร์ด้านกระถามคบเพลิง ซึ่งแต่เดิมเป็นอัฒจันทร์เล็กๆมีผู้คนนั้งเต็ม ไปหมด จึงได้สังเกตเห็นความแตกต่างของสีเสื้อที่ประชาชนใส่อยู่ ซึ่งได้แก่ สีฟ้าและสีขาวอย่างชัดเจน ม. จึงเกิดความคิดขึ้นว่า ถ้าสามารถจัดคนที่ใส่เสื้อ สีเดียวกันมานั้งรวมกันให้เป็นแถวๆ ได้แล้วก็จะเกิดความสวยงามขึ้น และ นอกจากนี้ก็สามารถจัดเป็นตัวหนังสือให้อ่านออกได้ก็จะเกิดความสวยงาม มากยิ่งขึ้น ประกอบกับเมื่อครั้งที่ท่านยังศีกษาอยู่ในโรงเรียน บราเดอร์ โอเซ่ และ บราเดอร์ อามาโด ด้านวิชาศิลปให้แก่นักเรียน โดยท่านเคยศึกษาศิลปที่ เรียกว่า MOSAIC ซึ่งเป็นศิลปของพวกเอเชียไมเนอร์(ภาพประเภทนี้ ได้แก่ การนำก้อนหินสีต่างๆมาเรียงเป็นตัวอักษรหรือรูปถาพติดบนกำแพงถ้ำ ซึ่ง ปัจจุบันได้พัฒนามาเป็นกระเบื้องโมเสดซึ่งติดบนผนัง และอาศัยวิชาพิมพ์ดีด ซึ่งพิมพ์เป็นรูปต่างๆได้ด้วย) จากความคิดต่างๆและความรู้ที่ม.ได้ศึกษา จึงนำมาใช้ในวัน ชิงชนะเลิศฟุตบอลรุ่นกลาง ระหว่าง อัสสัมชัญ กับอุเทนถวายโดยใช้นักเรียน สวมเสื้อสีขาว กลัดกระดุมเอซี 5 เม็ดเหมือนชุด ราชประแตนส์สวมหมวกกระโล่ สีขาวกางเกงสีน้ำเงิน ถุงเท้าสีขาว รองเท้าดำมานั่งเป็นตัว "อ.ส.ช." และให้ นักเรียนที่แต่งชุดยุวชนทหาร สีกากีแกมเขียว ซึ่งมีจำนวนมากกว่ามานั่งเสริม ให้เต็ม รวมใช้นักเรียนทั้งสิ้นประมาณ พันคน เกิดเป็นภาพ "อ.ส.ช." สีขาว บนพื้นกากีแถบเขียว ปรากฎขึ้นอย่างเด่นชัดเจนและถือว่าเป็นภาพประวัติศาสตร์ ภาพแรกของการแปรอักษร ซึ่งเกิดขึ้นโดยนักเรียนอัสสัมชัญณ สนามศุภชลาสัย ในปีพ.ศ. 2487 นั้นเอง
การแปร อักษร ได้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จาก ภาพ อ.ส.ช. ที่เคลื่อนไหว ไม่ได้มากลายเป็นภาพที่สามารถเคลื่อนไหวเปลี่ยนเป็นคำว่า A.C. ได้โดยม. ได้ใช้เด็กนักเรียนในห้อง ม. เองใส่เสื้อสีเข้มวิ่งเปลี่ยนตำแหน่งที่นั่ง และ ได้มีการพัฒนาอุปกรณ์ต่างๆมาให้แทนเสื้อ เช่นกระดาษสีและผ้าสีต่างๆ จนเมือนประมาณ ปีพ.ศ. 2506 อันเป็นปีสุดท้ายที่ ม.เฉิดตัดสินใจวางมือ จากวงการแปรอักษร แต่เมื่อก่อนที่ ม. จะวางมือนั้น ม. ได้ทิ้งทีเด็ดไว้เป็น ครั้งสุดท้ายในการแข่งขันฟุตบอลระหว่าง อัสสัมชัญ-กรุงเทพคริสเตียน โดย ม. ไม่ให้กองเชียร์อัสสัมชัญขึ้นอัฒจันทร์เชียร์ในขณะที่ฝ่ายกองเชียร์ กรุงเทพคริสเตียนมี กองเชียร์ขึ้นมารออยู่นานแล้ว จนกระทั่ง 15 นาที ก่อนการแข่งขัน จึงให้นักเรียนจักแถวคอยอยู่แล้ว วิ่งขึ้นที่ละแถวตามลำดับ ซึ่งเป็นภาพที่เป็นระเบียบขณะวิ่ง และเมื่อจัดที่นั่งแล้วเพียงชั่วอึดใจ กองเชียร์อัสสัมก็ส่งเสียงเชียร์ดังกึกก้อง เรียกเสียงปรบมือจากคนดูทั้งสนาม ทั้งนี้จุดประสงค์เพื่อให้เห็นว่า นักเรียนยังมีระเบียบมากถ้าหากเรารู้จักใช้พวกเขา และทั้งนี้ต้องให้พวกเขาทำด้วยความสมัครใจ สำหรับความคิดของ ม. เกี่ยว- กับการเชียร์ในปัจจุบันนั้น ม. ได้ให้ความเห็นว่าม. ไม่เห็นด้วยกับการที่แปร อักษรแล้วปิดตาปิดปากกองเชียร์ โดยไม่ให้กองเชียร์ได้เห็นการแข่งขัน และส่งเสียงเชียร์ซึ่งนับว่าทั้งสองอย่างเป็นสิ่งสำคัญในการเชียร์ เพราะ เป็นการสร้างบรรยากาศที่ดี และเป็นการให้กำลังใจทั้งฝ่ายเชียร์และฝ่าย ผู้แข่งขัน และทำให้คนในกองเชียร์รู้สึกว่าตนเองถูกบังคับอยู่ตลอดเวลา
ในด้านเทคนิคต่างๆ ม. ได้ให้ความเห็นว่าได้พัฒนาไปมาก แต่ก็ควรจะไม่ใช้ทุนสูงเกินไป นอกจากจะได้ผลคุ้มค่า จึงน่าทำเพื่อไม่ให้ เกิดความซ้ำซากจำเจ และเป็นการพัฒนาความคิดให้กว่างไหลออกไปตาม คำกลอนของ ภราดา ฟ.ฮีแลร์ ที่ว่า หมุน สมอง ให้ ทัน สมัย และ ม. ก็ได้ นำมาเขียนเป็นโคลงกระทู้ใหม่ว่า
หมุน เวียนเปลี่ยนใหม่ให้ ทันกาล
สมอง เชี่ยวปรีชาชาญ ส่งไซร้
ให้ทัน ช่วงใช้งาน ก่อเกิด ประโยชน์นา
สมัย ใหม่ย่อมต้องให้ เก่าเคล้า ระคนกัน
ส่วน วิธีการที่ ม. คัดค้านไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งก็คือ การวาดรูป ลงบนกระดาษแผ่นใหญ่ แล้วนะมาตัดซอยย่อยๆ เพื่อให้กองเชียร์ถือ คนละแผ่น เพราะถือว่าเป็นการทำลายศิลปแบบโมเซอิค อันเป็นการผิด วัตถุประสงค์ของการแปรอักษรอย่างยิ่ง
ท่าน ผู้อ่านทั้งหลายครับ เมื่อท่านอ่านมาถึงบรรทัดนี้ท่านก็ คงอดภูมิใจไม่ได้ว่าอัสสัมชัญของเรานั้นได้สร้างประวัติศาสตร์ในการ แปรอักษร และพัฒนาการแปรอักษรขึ้น จวบจนถึงบัดนี้โรงเรียนของ เราก็ได้รับเกียรติให้แปรอักษรงานระดับชาติก็หลายครั้งหลายหน และ ครั้งที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง เราได้รับเชิญให้แปรอักษรในพิธีมหามิสซา ของสมเด็จพระสันตปาปา จอห์นปอลที่ 2 ณ สนามศุภชลาสัยซึ่งได้มีการ ถ่ายทอดไปเกือบทั่วโลกถึงแม้ว่าการแปรอักษรในระยะหลังนี้จะซบเซา ไปบ้างแต่ผมก็เชื่อมั่นเหลือเกินว่า ชาวอัสสัมชัญทุกคนคงไม่นิ่งดูดาย แต่จะร่วมมือกันพัฒนาให้การเชียร์ และการแปรอักษรเจริญก้าวหน้าต่อไป สมกับ "ความเกรียงไกรแห่งกองเชียร์อัสสัมชัญ" ของพวกเราทุกคน และช่วยกันสืบทอดเจตนารมณ์อันดีงามนี้ต่อไปเพื่อให้เกียรติประวัติ อันน่าภาคภูมิใจนี้คงอยู่จนถึง รุ่นลูก รุ่นหลาย และต่อๆ ไปชั่วนิรันดร์ สมกับตอนท้ายของเพลงสดุดีอัสสัมชัญที่ว่า " มาชูเชิด เอซี ไว้ชั่วดินฟ้า
Sat May 15, 2010 5:13 pm by แอดมิน onepiece-gang
» ความเจ๋งของเว็บนี้
Sat May 15, 2010 5:09 pm by แอดมิน onepiece-gang
» ขอโปรแกรม AVS Video Editor 4.2.1.166
Tue Apr 06, 2010 8:35 pm by jasmin5551
» Heartbeat ver.chipmunk 55555555
Mon Apr 05, 2010 1:16 pm by jasmin5551
» เกมส์ไพ่สลาฟ SLAVE
Sat Mar 20, 2010 4:21 pm by film400
» เกมสนุกเกอร์
Sat Mar 20, 2010 4:16 pm by film400
» Photoshop CS2 Update [For MAC]
Thu Feb 25, 2010 8:14 pm by Admin_Gato
» แนะนำคับ GamesTorrents
Sun Feb 21, 2010 7:52 pm by Admin_Gato
» Field Runner 25 mb
Sun Feb 21, 2010 7:25 pm by Admin_Gato